กฎหมายปี2564
กล่าวไว้ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ได้มีกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรปั้นจั่นและหม้อน้ำพ.ศ. 2564 ประกาศออกมา โดยพูดถึงรายละเอียดในแต่ละเรื่องเอาไว้
ในวันนี้เราจะมาพูดถึงความปลอดภัยเกี่ยวกับรถโฟล์คลิฟท์ ตามกฎกระทรวงนี้
ความปลอดภัยในการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ มีความสำคัญตลอดเวลาในอุตสาหกรรมและการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้
ในการยกอย่างมาก
รถโฟล์คลิฟท์ (Forklift) คืออะไร
รถโฟล์คลิฟท์ (Forklift) หรือที่อาจเรียกว่า “รถยก” หรือ “รถยกสินค้า” เป็นยานพาหนะหรือเครื่องจักรที่มีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับยกและ
ลดสินค้า โดยมีหน้าที่ในการย้ายสินค้าหนักหรือวัตถุดิบในงานโกดัง, โรงงาน, หรือสถานที่อื่น ๆ ที่ต้องการการยกหรือเคลื่อนย้ายที่ตัวมันเอง
ไม่สามารถทำได้โดยง่าย รถโฟล์คลิฟท์มักมีความสามารถในการยกสินค้าขึ้นและลงด้วยขายกลางที่สามารถปรับระดับความสูงได้
และมักมีขาล้อหน้าที่มีชุดของหนามที่เรียกว่า “fork” หรือ “tines” เพื่อสามารถเสียบเข้าไปในสินค้าเพื่อยกขึ้น
ส่วนที่ 4 รถยก
- ข้อ 34 ในการทำงานเกี่ยวกับรถยกหรือรถโฟล์คลิฟท์ นายจ้างต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
กฎกระทรวงกล่าวไว้ว่า : การทำงานเกี่ยวกับรถโฟล์คลิฟท์ มุ่งเน้นความปลอดภัยในการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ อย่างมาก เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ หลายข้อบังคับที่ระบุไว้ในข้อนี้เป็นมาตรการ เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่ทำงานกับรถโฟล์คลิฟท์ และผู้อื่นที่อาจอยู่ในบริเวณการทำงานขณะรถโฟล์คลิฟท์ กำลังใช้งาน สิ่งที่ต้องมีตามกฏหมายบังคับ ดังนี้
1.โครงหลังคาที่มั่นคงแข็งแรง: การมีโครงหลังคาที่แข็งแรงและมั่นคงบนรถโฟล์คลิฟท์ จะช่วยป้องกันอันตรายจากวัสดุที่อาจตกหล่นลง
มาจากบน
2.ป้ายบอกพิกัดน้ำหนักยก: การติดตั้งป้ายบอกพิกัดน้ำหนักยกให้ที่สังเกตได้ชัดเจน เพื่อป้องกันการยกสิ่งของเกินพิกัด โดยการใช้ป้ายบอก
พิกัดน้ำหนักยกที่เหมาะสมจะ ช่วยลดความเสี่ยงในการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์
3.ตรวจสอบรถยกก่อนใช้งาน: การตรวจสอบรถโฟล์คลิฟท์ให้มีสภาพใช้งานได้ดีและปลอดภัย ก่อนทุกครั้งที่ใช้งาน จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุ
ไม่คาดคิด
4.สัญญาณเสียงหรือแสงเตือนภัย: การมีสัญญาณเสียงหรือแสงเตือนภัยบนรถโฟล์คลิฟท์ เมื่อกำลังใช้งาน จะช่วยประกาศให้คนในบริเวณนั้นระวังและออกจากที่เสี่ยงอันตราย
5.อุปกรณ์ช่วยการมองเห็น: การติดตั้งอุปกรณ์ช่วยการมองเห็นเช่นกระจกมองข้าง จะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นสิ่งของและบุคคลที่อาจอยู่ใน
บริเวณการทำงานได้ง่ายขึ้น
6.สวมใส่เข็มขัดนิรภัย: ผู้ขับขี่ต้องสวมใส่เข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยขณะขับรถโฟล์คลิฟท์
สรุป
การปฏิบัติตามข้อบังคับเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำงานกับรถโฟล์คลิฟท์และสร้างสภาพที่ปลอดภัยในสถานที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับรถโฟล์คลิฟท์ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์
- ข้อ 35 นายจ้างต้องไม่ดัดแปลงหรือกระทำการใดกับรถโฟล์คลิฟท์
กฎกระทรวงกล่าวไว้ว่า : นายจ้างต้องไม่ดัดแปลงหรือกระทำการใดกับรถโฟล์คลิฟท์ที่มีผลให้ความปลอดภัยในการทำงานลดลง
เว้นแต่กรณีที่นายจ้างดัดแปลงรถโฟล์คลิฟท์ เพื่อใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง และได้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานแล้ว
นั่นหมายความว่านายจ้างไม่สามารถทำการดัดแปลงรถโฟล์คลิฟท์เองหรือให้ผู้อื่นดัดแปลงรถโฟล์คลิฟท์ที่ส่งผลให้ความปลอดภัยลดลง
โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
หากนายจ้างมีความจำเป็นต้องใช้รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและ
ผู้รับรองทางวิศวกร และต้องตรวจทดสอบรับรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยวิศวกรผู้ได้รับอนุญาต การตรวจสอบและรับรองมีความสำคัญ
เพื่อความปลอดภัยของการใช้รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง และรายละเอียดการตรวจสอบสามารถตรวจสอบได้จาก
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง “รถฟอร์คลิฟท์ (Forklift) ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง” พ.ศ. 2545 ที่อ้างถึงการตรวจสอบและ
รับรองสำหรับรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง.
- ข้อ 36 นายจ้างต้องควบคุมดูแลบริเวณที่มีการเติมประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่
กฎกระทรวงกล่าวไว้ว่า : มุ่งเน้นความปลอดภัยในการทำงานที่มีการเติมประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่สำหรับรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ไฟฟ้า นายจ้างต้อง
ดูแลและควบคุมบริเวณที่มีการเติมประจุไฟฟ้าให้อยู่ห่างจากบริเวณที่ลูกจ้างทำงานได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้จะต้องมีมาตรการ ระบาย
อากาศ เพื่อป้องกันการสะสมของไอกรดและไอระเหยของไฮโดรเจนจากกระบวนการประจุไฟฟ้า
กฎหมายต้องกำหนดขั้นตอนการชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า เพื่อให้มีความปลอดภัยในกระบวนการชาร์จ และมาตรการ เช่น
การกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับชาร์จแบตเตอรี่อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ทำงานสามารถทำงานในบริเวณนั้นๆ ได้อย่างปลอดภัย
สรุป
การควบคุมและดูแลบริเวณการเติมประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่สำหรับรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการชาร์ตแบตเตอรี่ รวมถึงการระบายอากาศอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันสะสมของไอกรดและไอระเหยที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ทำงานและบริเวณการทำงาน
- ข้อ 37 นายจ้างต้องตีเส้นช่องทางเดินรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้งานประจำ
กฎกระทรวงกล่าวไว้ว่า : นายจ้างต้องตีเส้นช่องทางเดินรถยกบริเวณภายในอาคารหรือกำหนดเส้นทางเดินรถโฟล์คลิฟท์ และบริเวณอื่นที่มี
การใช้รถโฟล์คลิฟท์เป็นประจำ นั่นหมายความว่านายจ้างต้องมีการกำหนดเส้นทางเดินที่ชัดเจนสำหรับรถโฟล์คลิฟท์ในพื้นที่ที่มีการใช้งาน
รถโฟล์คลิฟท์โดยประจำ เพื่อให้ผู้ทำงานและรถยกสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย
การที่มีเส้นทางเดินรถโฟล์คลิฟท์ที่ชัดเจน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน โดยช่วยลดความขัดข้องระหว่างคนที่ทำงานและ
รถโฟล์คลิฟท์ นอกจากนี้ เส้นทางเดินรถโฟล์คลิฟท์สามารถทำให้การทำงานเป็นระเบียบและเรียงง่าย ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ และช่วยให้ผู้
ทำงานสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองในพื้นที่ที่มีการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ได้อย่างปลอดภัย
การใช้สีส้มหรือสีแดงหรือสีที่แตกต่างจากพื้นที่ทั่วไปในการทาสีช่องทางเดินรถโฟล์คลิฟท์เป็นวิธีการที่ช่วยแยกแยะพื้นที่ระหว่างคนกับ
รถโฟล์คลิฟท์อย่างชัดเจน การติดตั้งรั้ว เพื่อกั้นคนเดินเข้าไปในพื้นที่รถโฟล์คลิฟท์เป็นมาตรการเพิ่มเติมที่ ช่วยในการควบคุมการเข้าออก
ของคนและเพิ่มความปลอดภัย การใช้มาตรการเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและปรับปรุงความปลอดภัยในบริเวณการทำงานที่มี
การใช้งานรถโฟล์คลิฟท์
- ข้อ 38 นายจ้างต้องติดตั้งกระจกนูน บริเวณทางแยกหรือทางโค้งที่มองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า
กฎกระทรวงกล่าวไว้ว่า : นายจ้างต้องติดตั้งกระจกนูนหรือวัสดุอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายกันไว้ที่บริเวณทางแยกหรือทางโค้งที่มองไม่เห็นเส้นทาง
ข้างหน้า การติดตั้งกระจกนูนหรือวัสดุที่มีคุณสมบัติคล้ายกันนี้เป็นมาตรการ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานขณะที่รถยกทำงานในทาง
แยกหรือทางโค้งที่มองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า นี้ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นบริเวณที่อาจมีคนหรือรถยกอื่นเข้ามา และลดความขัดข้องและความ
เสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ กฎหมายต้องการให้ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณเสียง เมื่อถึงทางแยกทางโค้งหรือมุมอับ เพื่อแจ้งให้ผู้อื่นที่อาจอยู่ในบริเวณนั้นรู้ว่า
รถโฟล์คลิฟท์ จะเข้ามาหรือออกไป การให้สัญญาณเสียงเป็นวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในสภาวะที่มองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้าและ
ช่วยลดความขัดข้องระหว่างการทำงานของรถโฟล์คลิฟท์และคนอื่นๆ ที่อาจเคลื่อนย้ายอยู่ในบริเวณนั้น. นอกจากนี้ การระวังและระวังความ
ปลอดภัย เมื่อเข้าใกล้บริเวณที่รถยกกำลังทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสี่ยง
- ข้อ 39 นายจ้างต้องจัดทางเดินรถโฟล์คลิฟท์ ให้มีความมั่นคงแข็งแรง และสามารถรองรับน้ำหนัก
กฎกระทรวงกล่าวไว้ว่า : นายจ้างต้องจัดทางเดินรถโฟล์คลิฟท์ ให้มีความมั่นคงแข็งแรงและสามารถรองรับน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกของรถโฟล์คลิฟท์ ได้อย่างปลอดภัย
นี่เป็นมาตรการสำคัญเพื่อให้รถโฟล์คลิฟท์ สามารถเคลื่อนย้ายและยกสิ่งของอย่างปลอดภัยในบริเวณที่มีการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์
ทางเดินรถโฟล์คลิฟท์ ควรมีความแข็งแรงและเรียบ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือความขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นในระหว่าง
การเคลื่อนย้าย นอกจากนี้ ทางเดินรถโฟล์คลิฟท์ ควรสามารถรองรับน้ำหนักรถโฟล์คลิฟท์ รวมทั้งน้ำหนักของสิ่งของที่รถโฟล์คลิฟท์
บรรทุกอย่างปลอดภัย โดยนายจ้างต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและบำรุงรักษาทางเดินรถโฟล์คลิฟท์ เพื่อให้คงอยู่ในสภาพที่มั่นคง
แข็งแรงตลอดเวลา
- ข้อ 40 นายจ้างต้องจัดลูกจ้างที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถโฟล์คลิฟท์ต้องผ่านการฝึกอบรม
กฎกระทรวงกล่าวไว้ว่า : นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถโฟล์คลิฟท์ ตต้องผ่านการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้รถโฟล์คลิฟท์
และความปลอดภัยในการขับรถโฟล์คลิฟท์ การตรวจสอบและบำรุงรักษารถโฟล์คลิฟท์ โดยมีวิทยากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และ
ประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับรถโฟล์คลิฟท์ตามหลักสูตรที่อธิบดีประกาศกำหนด
การฝึกอบรมรถโฟล์คลิฟท์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ขับขี่รถโฟล์คลิฟท์มีความรู้และความเข้าใจที่เพียงพอเกี่ยวกับการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์
และความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง การอบรมนี้สามารถ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและความเสี่ยงในการทำงานกับรถโฟล์คลิฟท์
นายจ้างควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าบริษัทที่ให้บริการอบรมรถโฟล์คลิฟท์ได้รับอนุญาตและได้รับการยอมรับในการอบรม
หากลูกจ้างที่ทำหน้าที่ขับรถโฟล์คลิฟท์ ผ่านการอบรมรถยกแล้ว บริษัทควรจัดทำเอกสารหรือชี้บ่งให้เห็นว่าบุคคลนั้นได้รับอนุญาต และ
ผ่านการอบรมรถโฟล์คลิฟท์ อย่างเพียงพอ และสามารถป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตขับรถโฟล์คลิฟท์ เข้ามาทำงาน นี้เป็นมาตรการ
สำคัญ เพื่อความปลอดภัยขณะทำงานกับรถโฟล์คลิฟท์ และป้องกันความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
- ข้อ 41 นายจ้างต้องควบคุมดูแลการนำรถโฟล์คลิฟท์ไปใช้ปฏิบัติงานใกล้สายไฟฟ้า
ในกฎกระทรวงกำหนดระยะห่างที่ต้องควบคุมดูแลในการนำรถโฟล์คลิฟท์ไปใช้ปฏิบัติงานใกล้สายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าต่างๆ ดังนี้:
- สายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 69 กิโลโวลต์ ต้องห่างไม่น้อยกว่า 3.1 เมตร
- สายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าเกิน 69 กิโลโวลต์ แต่ไม่เกิน 115 กิโลโวลต์ ต้องห่างไม่น้อยกว่า 3.3 เมตร
- สายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าเกิน 115 กิโลโวลต์ แต่ไม่เกิน 230 กิโลโวลต์ ต้องห่างไม่น้อยกว่า 4 เมตร
- สายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าเกิน 230 กิโลโวลต์ แต่ไม่เกิน 500 กิโลโวลต์ ต้องห่างไม่น้อยกว่า 6 เมตร
สรุป
การควบคุมระยะห่างนี้มีความสำคัญ เพื่อความปลอดภัยของผู้ทำงานและรถโฟล์คลิฟท์เอง เนื่องจากการมีการสัมผัสระหว่างรถโฟล์คลิฟท์
และสายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าอาจเกิดอันตรายและเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ทำงาน ดังนั้น การควบคุมระยะห่างตาม
กฎหมายเป็นการป้องกันอันตรายที่สำคัญในการทำงานกับรถโฟล์คลิฟท์ใกล้สายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้า
- ข้อ 42 นายจ้างต้องควบคุมดูแลไม่ให้บุคคลอื่น โดยสารไปกับรถโฟล์คลิฟท์ โดนเด็ดขาดหรือขึ้นไปบนส่วนหนึ่งส่วนใดของรถโฟล์คลิฟท์
กฎกระทรวงกล่าวไว้ว่า : ห้ามผู้ใดโดยสารไปกับรถโฟล์คลิฟท์โดยเด็ดขาด เป็นมาตรการที่มุ่งเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานของรถโฟล์
คลิฟท์ และป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากการโดยสารของบุคคลอื่นที่ไม่เข้าใจการควบคุมรถโฟล์คลิฟท์หรืออาจมีความเสี่ยงต่อความ
ปลอดภัยของรถโฟล์คลิฟท์และผู้ขับขี่
การบังคับกฎระเบียบดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญในการประชาสัมพันธ์ของบริษัทและพนักงาน เพื่อระเบียบของบริษัท ทั้งนี้เพื่อรักษา
ความปลอดภัยของทุกคนในสถานที่ทำงานและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้งานรถยกโดยสารไม่ถูกต้องหรือไม่ปลอดภัย
การละเมิดกฎระเบียบเหล่านี้อาจทำให้ผู้ละเมิดถูกลงโทษตามกฎบริษัท และอาจเสียค่าเสียหายหรือถูกเตือน เพื่อรักษาความปลอดภัยของ
ทุกคนในสถานที่ทำงานและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ โดยสารไม่ถูกต้องหรือไม่ปลอดภัย